วันพุธที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เพียง แค่ พอ



.........เพียง แค่ พอ
.........ทา่มกลางสังคมที่มีแต่การแก่งแย่
งหาผลประโยชน์ส่วนตน มีแต่ความฟุ้งเฟ้อ กับวัฒนธรรมเสพติดวัตถุุนิยมที่กระจายไปทั่ว ตั้งแต่ระดับประชาชีผู้ไม่มีอันจะกินจนถึงผู้มีอันจะกิน (แต่กินจุ) ช่องว่างระหว่างชนชั้นเริ่มปรากฎ แสดงให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำทางศีลธรรมจรรยา ลัทธิบริโภคนิยมเริ่มมีอิทธิพลกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไทยๆ วิถีอันเป็นรากเหง้าของปู่ย่าตาทวดกำลังถูกกลืนกิน ทั้งยังแฝงมาในรูปแบบของการศึกษา ฯลฯ จนกระทั่งเราไม่รู้ตัวว่าเรากำลังทิ้งวิถี ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญให้ไทยยังคงเป็นไทยได้ในทุกวันนี้ ผู้รู้ทั้งหลาย ย่อมจะไม่กล่าวโทษเพื่อทำให้ตัวเองพ้นผิดหรือให้ผู้อื่นผิดมากกว่าตนแต่เพียงอย่างใด เห็นแต่จะมีการลงมือแก้ไขความผิดพลาด เอาใจใส่และฟื้นฟูวิถีความเป็นชาชนชาติของผู้รักสันติ สามาญ และสามัคคี
.........คำตอบคือ ความรู้ตัว เมื่อรู้ ย่อมต้องหยุด เมื่อหยุดย่อมต้องบริโภคน้อย เมื่อบริโคน้อยตามความจำเป็นและประโยชน์ใช้สอย ย่อมได้ชื่อว่าพอเพียง
................................................................มรชุน คนเขียนดิน

สายน้ำประดจมารดา


.......เราไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า เราสามารถดำรงอยู่ได้โดยไม่มีน้ำ แม้แต่สัตว์หรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆก็ย่อมต้องการน้ำเพื่อการอยู่รอดทั้งนั้น อาจเปรียบได้ว่า สายน้ำคือคือขุมพลังที่หล่อเลี้ยงชีวิตให้ดำรงอยู่ได้ คลายความกระหาย ให้ความชุ่มชื้น ให้ผัสสะอันบริสุทธิ์คือลมหายใจ แม้วันคืนที่เหน็บหนาวร้าวราน ทุกข์ทรมานระทมระทวยใจ แม้ท้องฟ้าที่แจ่มใสอุ่นละไมด้วยความรัก

.......สายน้ำ ประดุจมารดา มารดาชื่อว่าผู้ให้กำเนิดบุตร ผู้ให้ชีวิต สายน้ำชื่อว่าหล่อเลี้ยงชีวิต ดังจะเห็นคำยกย่องความประเสริฐของน้ำได้ในภาษาไทย เช่น แม่น้ำ พระแม่โพสพ แม่วารี น้ำแม่ปิง น้ำแม่ตาปี น้ำแม่โขง แม่น้ำมูล แม่น้ำชี ฯลฯ ซึ่งคำเหล่านี้ ไม่เพียงแต่แสดงให้เราเห็นถึงภูมืปัญญาของคนโบราณในการเลือกสรรคำมาใช้ ยกย่องเทิดทูลคุณของน้ำแล้ว ยังแฝงด้วยปรัชญาที่ใช้สอนให้ลูกหลานได้ตระหนักถึงคุณประโยชน์อันเกื้อกูล ต่อวิถีชีวิตความเป็นอยู่อันมีน้ำเป็นปัจจัยสำคัญของการดำรงชีวิตอีกด้วย
.............................................................................มรชุน คนเขียนดิน

มรชุน ว่าด้วยธรรมชาติ๑

*แม้ข้าวสักเม็ดก็มีคุณค่าในตัวของมันเอง

*นักศึกษาที่ดีจะต้องมีปัญญาที่กระจ่าง
  มีสองมืออันสัมผัสแม่พระธรณี
  มีความสำเหนียกรู้ถึงคุณค่าของการมีชีวิตอันมีธรรมชาติโอบอุ้มอยู่

*มารดาผู้ให้กำเนิดนั้นมีสิเนหาต่อบุตรธิดาฉันใด
  ธรรมชาติผู้ให้ชีวิตย่อมให้ความรักแก่สรรพชีวิตฉันนั้น

*กว่าจะได้มาแสนยากลำบาก แต่ก็ยังไม่เท่าได้มาแล้วไม่เห็นคุณค่า

*สัญชาตญาณของการรับรู้ธรรมชาติ มีอยู่ในหมู่มนุษย์ทุกคน

*เราไม่อาจปฏิเสธได้เลย ว่าเราจ้างคนทำกับข้าว
  จ้างคนขายข้าว เราจ้างคนส่งข้าว และเราก็จ้างคนปลูกข้าว

*ทรัพยากรในโลกมีอุดมสมบูรณ์เพียงพอสำหรับประทังชีวิตคนทั้งโลก
  แต่ไม่เพียงพอสำหรับคนละโมบเพียงคนเดียว

*เราจะได้ยินเสียงโอดครวญร่ำไห้ของธรรมชาติก็ต่อเมื่อ เราขาดจิตสำนึก

วันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2553

สมดุล




เคยมีคนถามถึงภาพนี้ว่า ความสมดุลของภาพจะเกิดขึ้นได้อย่างไร? เมื่อคนบนหลังควายเริ่มหายไปทีละคนๆ

ด้วย สมองอันหนาทึบของผมในตอนนี้ยังไม่สามารถอธิบายหรือตอบคำถามให้กระจ่าง แจ้งอย่างหมดจด แต่จะขอตอบตามความเข้าใจ หากว่ามีผู้รู้มาแนะนำจะเป็นการดียิ่ง ขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้

...... ความสมดุลของภาพนี้คือ ความสมดุลของธรรมชาติ ธรรมชาติให้มา ธรรมชาติรับไป ธรรมมชาติไม่เคยขาดทุน ไม่เคยได้ผลกำไร ไม่ได้ไม่เสีย......เมื่อเรามีธรรมชาติอย่างจำกัด เราเรียนรู้ที่จะอยู่กับธรรมชาติอย่างเป็นมิตร หวงแหนและสำนึกคุณอยู่เนืองๆ ในทางตรงกันข้าม เมื่อเราไม่รู้จักประโยชน์ไม่รู้จักสำนึก ใช้ธรรมชาติอย่างสิ้นเปลือง เมื่อธรรมชาติเหลือน้อย คนเราย่อมต้องแย่งกันเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ดีๆอยู่เสมอตามกฎอุปสงค์อุป ทาน แต่สุดท้ายแล้วธรรมชาติก็ต้องหมดไปอยู่ดี ผลประโยชน์ที่ได้ ของดีๆที่ได้ เมื่อได้จากธรรมชาติสุดท้ายก็ต้องคืนสู่ธรรมชาติ เป็นธรรมดา ........................................................................................ มรชุน คนเขียนดิน